Saturday, December 12, 2015

FIN App กองทุนรวม version 2.4 (12 Dec 2015) ขึ้น App Store แล้วนะครับ

12 December 2015 - FIN App กองทุนรวม Mutual Fund version 2.4 ขึ้น Apple App Store แล้วนะครับ โดย version ใหม่นี้มีอะไรใหม่ๆ บ้าง ดังนี้ครับ





FIN 2.4 นี้จัดว่าเป็น version ที่คลอดก่อนกำหนด เพราะมีปัจจัยเร่งรัดเนื่องจาก critical bug ที่เกิดจาก iOS 9.2 เลยทำให้ต้องรีบแก้ไขแบบทันทีทันใด ซึ่งทำให้ features หลายๆ อย่างที่ผมอยากจะสร้างออกมาใน version ใหม่นี้ ถูกเลื่อนออกไปใน version หน้าหลังปีใหม่แทนนะครับ เรามาดูสรุปด้านล่างกันว่า version 2.4 นี้ปรับปรุงอะไรไปบ้าง

Critical bug fixed
- Search function ในหน้า Fund Rank และ Watchlist กลับมาทำงานได้ตามปกติ

Bug fixed
- ปรับปรุง layout ของหน้าบันทึก Transaction
- ปรับปรุงอาการ เด้งหลุดจาก app ในหน้า Portfolio ในกรณีที่กลับจากหน้า Transaction List

New improvement
- เพิ่มความสามารถให้กับ Fund Rank โดยสามารถ filter ตาม บลจ. ที่กำหนด, นโยบายปันผล, และ ประเภทกองทุนย่อยของกองทุนหลักเช่น RMF สามารถเลือก rank เฉพาะ RMF ที่ลงทุนในตลาดต่างประเทศได้ เป็นต้น
- Fund Rank มีการเพิ่มประเภทกองทุนขึ้นอีกหลายประเภท วิธีการใช้ คือ ให้ลองใช้นิ้วกดค้างไว้บนปุ่มที่แสดงชื่อประเภทกองทุนเช่น RMF, FIF, FIX แล้วจะพบเมนูย่อย
- Portfolio สามารถ group by กองทุน, ประเภทกองทุน และ บลจ. ได้
- Portfolio chart มีการปรับปรุงใหม่ และ สามารถแสดงผล ตาม กองทุน, ประเภทกองทุน และ บลจ.
- Portfolio ส่วนของการ summary total wealth, total return มี parameter ให้กำหนด ว่าจะรวมหรือไม่รวม ค่าใดบ้าง และ ยังกำหนดเรื่อง การหักภาษี ณ ที่จ่ายของเงินปันผลได้

Temporary removed feature
- Portfolio ในส่วนของการคำนวณ ค่าที่เปลี่ยนแปลงใน 1 วันของกองทุนใน portfolio มีการนำออกจาก version นี้ไปก่อนนะครับ เดี๋ยวจะกลับมาใหม่ ใน version ถัดไป

มาดูตัวอย่างหน้าจอด้านล่างกันครับ



เพิ่มความสามารถให้ Fund Rank โดยสามารถ Filter กลุ่มกองทุนย่อยของ RMF, FIF และ FIX ได้ วิธีใช้คือ กดแตะครั้งแรกที่ RMF, FIF หรือ FIX ก่อน  จากนั้น เพื่อเรียกกลุ่มย่อยออกมา ให้กดค้าง หรือ swipe right บนปุ่ม RMF, FIF หรือ FIX (ที่เป็นวงกลม) 





Portfolio มีการปรับปรุงแยกส่วนของ Chart ออกจาก Portfolio ปกติ เพื่อให้แสดงผลได้เต็มที่มากขึ้นและยังสามารถจัดกลุ่มกองทุนใน port โดยแบ่งตาม กองทุน (Fund) ประเภท (Type) หรือ บลจ. (AM)



ภาพตัวอย่าง กรณีแบ่งตาม บลจ. ครับ



Chart ยังมีส่วนการแสดงผลรวมของ เงินปันผลที่ได้รับ แบ่งตาม กองทุน ตามประเภท หรือ ตาม บลจ.






ในส่วนของ Portfolio หน้าหลัก มีการเพิ่ม panel สำหรับให้ผู้ใช้กำหนดเองได้ว่า Total Wealth, Total Return ของตนเองนั้น จะให้รวมค่าใดเข้าไปบ้าง เช่น จะรวม Dividend  หรือ Realized Profit/Loss เข้าไปหรือไม่ ลองกดรูปเกียร์ด้านบน (ใต้เครื่องหมาย +) ดูครับ จะพบกับ แถบ Panel นี้ ถ้าต้องการปิด แถบนี้ ทำได้ 2 แบบ คือกดรูปเกียร์ที่เดิม หรือ ใช้นิ้ว ตวัดขึ้นไปครับ





ในส่วนของ Fund Rank เพิ่มปุ่ม Filter ด้านบนซ้าย สามารถคัดกรองตามความต้องการได้ครับ





กรณีต้องการคัดกรอง เฉพาะบาง บลจ. ก็ทำได้ด้วยเช่นกัน





ในส่วนของ Fund Profile มีการปรับปรุงส่วนของ Chart ใหม่ครับ ให้ Interactive ได้ดีขึ้น




ส่วนของ Top10 Assets ใน Fund Profile ด้วยเช่นกัน ปรับปรุง Chart ใหม่ แต่ ยังมี Bug อยู่นิดนึงเรื่องการแสดงผลของ Chart ครับ เดี๋ยวจะแก้ใน version ถัดไป



ก็เป็น version คลอดก่อนกำหนด เลยทำให้มีเวลาทดสอบไม่มากนักนะครับ เดี๋ยวรวบรวม Bug, Feedback และแก้ไขอีกทีใน version ถัดไป  หากมีความเห็นอื่นๆ ไม่ต้องรอช้า เขียนเข้ามาได้เลยครับ ทางนี้ หรือ ทาง Facebook ก็ได้เช่นกัน  https://www.facebook.com/fin.application/



Tuesday, August 18, 2015

FIN Version 2.3 ออกแล้วนะครับ Update กันได้เลย

18 August 2015 - FIN มี update version ล่าสุดครับ Version 2.3  กด update กันได้เลยครับ  ส่วนรายละเอียดว่ามี อะไรใหม่ ปรับปรุงอะไร  ดูได้ที่ App Store - FIN App กองทุนรวม


Wednesday, August 5, 2015

ทำไมกองทุน Healthcare จึงน่าสนใจ (เตรียมพร้อม เมื่อตลาดโลกเข้าสู่ช่วง Market Correction)

ทำไมกองทุน Healthcare จึงน่าสนใจ
ระยะหลังๆ จะเห็นหลายบลจ. เริ่มออกกองทุนใหม่ๆ ที่เป็นกองทุนต่างประเทศในหมวดอุตสาหกรรม Healthcare เช่น กรุงศรี กสิกร ออกกองทุน under กองทุนแม่ของ JP Morgan Funds - Global Healthcare Fund, UOB  ออกกองทุน under กองทุนแม่ United Global Healthcare Fund  เมื่อปีที่แล้ว  เป็นต้น มาปีนี้ ธนชาต ออก IPO กองทุน under กองทุนแม่ คือ Janus Capital Funds plc - Global Life Sciences Fund เนื่องจากผลตอบแทนที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยดูจาก Benchmark ในอุตสาหกรรม Healthcare (MSCI World Health Care Index) อยู่เหนือ  Benchmark ของตลาดโลก ตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปัจจุบัน เป็นผลจากหลัง Hamburger crisis ทำให้ P/E ที่ต่ำกลับมาฟื้นตัวขึ้น บวกกับผลกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น และการปฏิรูปกฎหมายประกันสุขภาพในสหรัฐ (ObamaCare) ซึ่งถือว่ายังเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจและมีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีก จากการเข้าสู่สภาวะสังคมผู้สูงวัยทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่าในปี 2050 จะมีคนสูงอายุ 60+ มากขึ้นเป็น 3 เท่าของปี 2000 รวมทั้งความต้องการชีวิตที่ยืนยาว สุขภาพดี และอื่นๆ

source: MSCI.com



การเปรียบเทียบกองทุนว่าจะลงกองไหนดีผู้ลงทุนควรศึกษาเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนแม่ (Master Fund) ความเสี่ยง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วย

โดยก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ Master Fund ของกองทุนที่แต่ละบลจ ได้ไปลงทุนกันก่อน


เปรียบเทียบ Performance กองทุน 4 กองจะเห็นว่าในช่วงต้น 2012 JPMorgan ออกตัวทำ performance อยู่เหนือกองอื่นๆ แต่ช่วงหลัง กอง Janus ทำผลงานได้ออกมาดีมากแซงหน้า JPMorgan ไปด้วยผลตอบแทนอันดับ 1 ใน 1y 50.05% ส่งผลให้ 3y 37.71%, 5y 29.62% ขี้นอันดับ 1 เช่นกัน ตามมาด้วย Wellington ทำได้ดีมากในช่วงหลังเช่นกัน 1y ได้ถึง 46.56% และ JPMorgan 1y ได้ 36.13% หากดูในระยะสั้น 1m, 3m, 6m กอง Janus ทำผลงานออกมาดี รองลงมา Wellington และ JPMorgan อย่างไรก็ตามทั้ง 4 กองมีผลตอบแทนเหนือBenchmark
source: Funds.ft.com


ด้านความเสี่ยง Manulife จะมีความเสี่ยงน้อยสุด แต่ผลตอบแทนก็ลดลงมา ส่วนผลตอบแทนที่เกาะกลุ่มกัน 3 กอง แต่กองของ wellington จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า 

source: Funds.ft.com


ด้านค่าใช้จ่าย total expense ratio  กอง Wellington ต่ำสุด คือ 1.35% รองลงมา JPMorgan 1.90% Manulife 1.96%  และสูงสุดคือ Janus 2.48%   initial charge  และ exit charge กอง Wellington ไม่เก็บ ทั้ง 2 ขา อีก 3 กอง เก็บ ขาเข้า  ไม่เกิน 5%  ขาออก JPmorgan ไม่เกิน 0.50% Janus  ไม่เกิน 1% และ Manulife  ไม่เก็บ

นอกจากจะเสียค่าธรรมเนียมจาก master fund แล้ว ก็จะมีค่าธรรมเนียมของกองทุนบลจ. ในไทยด้วย ถ้ารวมกับกองต่างประเทศ BCARE น่าจะเป็นกองที่ค่าใช้จ่ายโดยรวมต่ำสุด แม้ว่าจะมีค่า exit charge แต่กองต่างประเทศไม่เก็บ


การให้ rating ของ morntingstar ระดับ 5 ดาว มี wellington, JPMorgan, Janus , UOB ส่วน Manulife ได้ 3 ดาว


เปรียบเทียบรูปแบบการลงทุน
บลจ. บัวหลวง - กอง master คือ Wellington Global Health Care Fund แม้ว่ากองนี้จะลงในหุ้น Large 30% และ Giant 28% เป็นหลัก แต่ก็เน้นการกระจายหุ้นในส่วนของ Medium Small  Micro  ด้วย  โดยมีหุ้นใน portfolio ถึง 123 ตัว เพื่อที่จะรับผลตอบแทนมากขึ้นจากขนาดของบริษัท และส่วนใหญ่จะเน้นลงใน Pharmaceutical & Biotechnology  75%  โดยการลงใน Biotech ในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงนี้ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงมากด้วยเช่นกัน เนื่องจาก Biotech คือ การคิดค้น วิจัย ทำให้เกิดตัวยา วัคซีน ใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในด้านต่างๆ หากมีการจดสิทธิบัตรจะทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงขึ้นมาก แต่ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน คือ ตั้งแต่ขั้นตอนวิจัยที่ต้องลงทุนสูง และแม้ว่าจะทำการวิจัยสำเร็จ แต่ขั้นตอนการจดสิทธิบัตรของ FDA มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และใช้เวลา รวมทั้งค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ช่วงนี้ อาจจะทำให้บริษัทขาดทุน และมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ สัดส่วนการลงทุนแยกตาม region เน้นลงใน US เกือบ 80% ใน Eurozone 13% แต่ที่ต่างจากกองอื่นคือ การลงใน Japan 7%

Wellington
source: trustnetoffshore.com data as of 31/07/2015


บลจ.กรุงศรี, กสิกร - กอง master คือ  JPMorgan Funds - Global Healthcare Fund
เน้นการลงทุนในหุ้นยักใหญ่พื้นฐานดี โดยมีหุ้น Giant มากที่สุดถึง 57% และ Large 21%  จำนวนหุ้นใน portfolio มี  89 ตัว ทั้งนี้หุ้นใน 10 อันดับแรกใน portfolio มีหุ้นยักใหญ่ 7 ตัวติดอันดับ Top 10 market cap คือ Johnson & Jonnson, Novartis, Roche Holding, Gilead Sciences, UnitedHealth Group, และ Bayer  เน้นลงทุนใน  Pharmaceutical 50% Biotech & Medical  26%  สัดส่วนการลงทุนตาม region จะลงใน US 64% Europe-ex Euro 16% และ Eurozone 10%

JPMorgan
source:trustnetoffshore data as of 31/07/2015


บลจ. ธนชาต - กอง master คือ  Janus Capital Funds plc - Global Life Sciences Fund เน้นลงทุนในหุ้น Giant 37% และ Large 22% กับ Medium 22%  ซึ่งจะมีหุ้นจำนวน 94 ตัว ใน portfolio หุ้นยักใหญ่ เช่น Johnson & Johnson,  Roche Holding, Sanofi, และ Amgen เน้นการลงทุนใน Pharmaceuticals  39%  และ Life Sciences  Tools  & Services & Biotechnology 37% ซึ่ง Life Sciences  Tools  & Services คือ บริษัทที่ครอบคลุมตั้งแต่ คิดค้นยา  พัฒนา ตลอดจนกระบวนการผลิต โดยใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ ทดสอบ ทดลองผลิตภัณฑ์ และบริการงานวิจัย การจัดจำหน่าย รวมทั้งบริษัทที่ให้บริการด้านเภสัชศาสตร์ (Pharmaceutical) และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) สัดส่วนการลงทุนตาม region จะลงใน US มากเกือบ 80% Eurozone 8%  และ Eurozone - ex Euro 7%

Janus
source:trustnetoffshore data as of 31/07/2015



บลจ. Manulife - กอง master คือ  Manulife Global Fund Healthcare
เน้นลงทุนในหุ้น Giant 57% และ Large 42% ซึ่งจะมีหุ้นใน portfolio เพียงแค่ 32 ตัว  หุ้นยักใหญ่ เช่น Merck & Co, Roche Holding, Amgen และ Novartis เน้นลงใน pharmaceuticals 44%  Healthcare equipment & Supplies 23% สัดส่วนการลงทุนตาม region  จะลงใน US มากที่สุด 75% Europe - ex Euro 8% United Kingdom 8%

Manulife
source:trustnetoffshore data as of 31/07/2015



บลจ. UOB - กอง master คือ UOB United Global Healthcare Fund  เน้นลงทุนในหุ้น Large 30% Giant 20% และกระจายการลงทุนในหุ้นขนาด Medium Small Micro ด้วย  เน้นลงใน pharmaceuticals 29% และ biotech 26%  ลงใน  US  64%  Euro 12% และ Japan 7%

UOB
source:trustnetoffshore data as of 31/07/2015



บลจ. ภัทร - ไม่มีกอง master แต่เป็นการบริหารเอง โดยการเลือกลงทุนในหลายกองทุนรวมในต่างประเทศที่เป็นกองทุนแบบ ETF* ภายใต้หมวดต่างๆในอุตสาหกรรม Healthcare เช่น ETF ของกลุ่มบริษัทยา, ETF ของกลุ่มบริษัท Biotech ซึ่งใน portfolio ของภัทร จะมีกองทุน ETF ประมาณ 8 กอง เน้นการลงทุนใน  Pharma 26% Biotech 24% Healthcare 20% และอื่นๆ ซึ่งผลงานที่ผ่านมาก็ทำได้ดี ผลตอบแทนอยู่เหนือ Benchmark** ทั้งนี้เป็นผลจากการเลือกลงกอง ETF ที่ให้ผลตอบแทนดี เช่น หมวด Biotech เป็นตลาดที่เติบโตสูงมากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา หากคำนวณจาก NASDAQ Biotechnology Index  ให้ผลตอบแทน ประมาณ 35% ต่อปี *** ข้อดีของการลงทุนใน ETF คือจะเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการมีหุ้นหลายตัว แต่ข้อเสียของการลงทุนมากกว่า 1 กอง ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายมากขึ้นด้วย
Phatra
source: FIN - App กองทุนรวม Mutual Fund


หมายเหตุ 
*ETF คือ exchange traded fund หรือเป็นการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพสูงตามดัชนีอ้างอิงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามดัชนีอ้างอิงของอุตสาหกรรมนั้นๆ ตัวอย่าง ดัชนี Set 50 ถ้าลงในกองทุน ETF Set 50 ผลตอบแทนจะได้ใกล้เคียง Set 50 Index จัดเป็น กองกลยุทธ์แบบ passive
**MSCI World Health Care Index เป็น Index ที่รวบรวมสัดส่วนหุ้นในทุกหมวดของอุตสาหกรรม healthcare ทั่วโลก
***คำนวณจาก NASDAQ Biotechnology Index data as of Aug 3, 2015
****ข้อมูล portfolio จาก FIN - App กองทุนรวม Mutual Fund สามารถ download ได้ที่ https://itunes.apple.com/th/app/fin-app-kxngthun-rwm-mutual/id972662339?mt=8


บลจ. Tisco - ไม่มีกอง master แต่เป็นการบริหารเอง โดยการเลือกลงทุนในหลายกองทุนรวมในต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงของอุตสาหกรรม healthcare หรืออาจจะมีกองทุนแบบ ETF ร่วมอยู่ด้วยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่เน้นกลยุทธ์แบบ Active เพื่อผลตอบแทนสูงสุด ใน portfolio จะมีกองทุน ประมาณ 8 กอง ซึ่งมีกองที่เป็นที่รู้จักดีของ janus, JPMorgan และ Wellington แต่ที่โดดเด่นและทำผลตอบแทนเหนือกว่าก็มี อย่าง ของ Franklin Templeton, UBS เป็นต้น ถือว่าเป็นกองทุนที่น่าจับตามองอีกกองเช่นกัน ข้อดีคือ จะคัดกองทุนที่มีผลตอบแทนที่ดี ข้อเสียคือ แม้ว่าจะได้ผลตอบแทนดีแต่ก็มีความเสี่ยงตามมาด้วย บวกค่าใช้จ่ายการบริหารกองทุนมากขึ้น  

Tisco
source: FIN - App กองทุนรวม Mutual Fund

Price comparision 

TEMBDAI:LX -  Franklin Templeton, UBSEBIO;LX - UBS ผลตอนแทนเหนือ janus (Data as of Aug 03 2015, Bloomberg)



มองอย่างไรต่ออนาคตอุตสาหกรรม Healthcare


จากการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2011 ส่งผลให้ P/E ratio จาก 14 เท่า จนมาถึงช่วงเวลาปัจจุบันประมาณ 25 เท่า ทำให้ถูกมองว่า P/E สูงและมีราคาแพงและอาจจะปรับตัวลดลง แต่อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจะเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่หรือไม่ ดังนั้นควรระวังความเสี่ยงระยะสั้นที่อาจจะเกิด และปัจจัยอื่นๆ เช่น Patent Cliff ของอุตสาหกรรมยา คือ ช่วงที่สิทธิบัตรของตัวยาที่มีชื่อเสียงกำลังจะทยอยหมดอายุ ทำให้มีคู่แข่งที่สามารถผลิต Generic Drugs ได้ในต้นทุนที่ถูกกว่า ส่งผลต่อการแข่งขันที่สูงขึ้น การต่อต้านนโยบาย Obama care ของฝ่ายค้าน replublican  อาจส่งผลต่อนโยบายหากได้รับการเลือกตั้งในปี 2016 ส่วนระยะยาวยังคงเติบโตตามโครงสร้างของจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่า จะมีผู้สูงอายุในปี 2050 กว่า 2 พันล้านคน ในขณะที่ US มีคนอเมริกันจ่ายค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยกว่าแปดพันเหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี และมีแนวโน้มผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอีก 17.5 ล้านคนในปี 2025 ซึ่งนั่นหมายถึงค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มมากขึ้น บวกกับหากยังมีการใช้นโยบาย Obama care อยู่ จะทำให้ มีผู้มีสิทธิเข้าถึงประกันสุขภาพและบริการด้านสุขภาพอีกกว่า 33 ล้านคนในปี 2022 และประเทศเกิดใหม่อย่าง จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เป็นต้น มีแนวโน้มของค่าใช้จ่ายด้าน Healthcare เพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศจีนจะมีผู้สูงอายุถึง 248 ล้านคนในปี 2020 นอกจากรับผลประโยชน์จาก Aging Sociaty แล้ว ยังมีการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เกิดจากมลภาวะ ความรุนแรงของโรค โรคที่มีความซับซ้อน เป็นต้น








สรุปคือ หากผู้ลงทุนสนใจลงทุนในกลุ่ม healthcare แต่ไม่แน่ใจว่าราคาได้สูงไปแล้วหรือไม่ ควรใช้วิธีแบบ เฉลี่ยการลงทุน (DCA) และเน้นการลงทุนแบบระยะยาว

Sunday, June 14, 2015

LTF/RMF อย่าคิดว่ากองไหนๆ ก็เหมือนกัน อย่าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่สนใจ

LTF/RMF อย่าคิดว่ากองไหนๆ ก็เหมือนกัน อย่าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่สนใจ เพราะจะทำให้เสียโอกาส คุณสามารถสับกองทุนได้เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิม ยกตัวอย่าง LTF 

มาดูผลตอบแทน LTF กันก่อนการตัดสินใจสับกองทุน
Top ผลตอบแทนสูงสุด 3 ปี ของ LTF อยู่ที่ 70.37% ต่ำสุด ประมาณ 2%
Top ผลตอบแทนสูงสุด 5 ปี ของ LTF อยู่ที่ 177.76% ต่ำสุด ประมาณ 6%

จะเห็นว่าถ้าเราไม่ทำอะไรปล่อยทิ้งไว้ 3-5ปี ความแตกต่างของผลตอบแทนกองทุนนั้นห่างกันมาก ขึ้นอยู่กับฝีมือการจัดการของแต่ละกอง และกองที่คุณถืออยู่มีผลตอบแทนเป็นอย่างไร ควรเปลี่ยนแล้วหรือยัง อย่างที่บอกว่า LTF เป็นกองทุนที่ควรดูในระยะกลาง ยาว เพราะคุณต้องถือให้ครบกำหนดระยะเวลา สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ การเอาเงินไว้ในกองทุนระยะยาวโอกาสผลตอบแทนจะติดลบมีน้อยมาก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยเรามีทิศทางแบบ Long up trend ขาขึ้นในระยะยาว ดังนั้นควรดูผลตอบแทนกองทุนที่ 3 ปี 5 ปี ขึ้นไป ส่วนผลตอบแทนในระยะสั้นไว้ดูประกอบว่าเราทนการขึ้นลงแรงๆ ตามสภาวะตลาดในขณะนั้นๆ ได้รึเปล่า



จากตารางเปรียบเทียบผลตอบแทนสูงสุด 3 ปี ของกองทุน LTF จาก 15 อันดับแรก พบว่า
  • 14 กอง คือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นมากกว่า 70% และ 1 กอง เป็นกองที่มีสัดส่วนลงทุนในหุ้น 70% และ 30% อยู่ในเงินฝาก ตราสารหนี้ ฯลฯ ที่มีสภาพคล่อง หรือความเสี่ยงต่ำ (70/30-D LTF )โดยทั้ง 15 กอง เป็นการจัดการกองทุนแบบ active คือมุ่งหวังให้ผลประกอบการสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Set Index) 
  • 6 กอง เป็นกองทุนที่ให้เงินปันผลด้วย คือ VALUE-D LTF, MV-LTF, T-LTFD, PHATRA LTFD, 70/30-D LTFและ BIG CAP-D LTF
  • เปรียบเทียบในช่วงขาลงของตลาดหุ้น ระยะ 1M, 3M, 6M มีกองที่ทำได้ดีแม้ว่าจะติดลบ ก็ลบในระดับที่ไม่มาก คือ B-LTF (-1.8,-1.3,-2.3), MS-CORE LTF (-2.8,-1.4,-1.9) , VALUE-D LTF ( -2.9,-1.9,-1.6), CIMB-PRINCIPAL (-3.1, -1.9, +0.9)


จากการวิเคราะห์ข้อมูลข้างต้น ผู้ลงทุนสามารถเลือกว่าจะลงในกองไหนตามรูปแบบที่อยากได้ เช่น
  • ชื่นชอบกองที่ active มากๆ ได้ผลตอบแทนสูง รับได้กับแรงเหวี่ยงของตลาดหุ้น ก็เลือกกองที่ลงในหุ้นเป็นหลัก และให้ผลตอบแทนดี (หลายคนพบว่าลงในกองทุนหุ้นดีกว่ามาเล่นหุ้นเอง ติดลบน้อยกว่าหรือให้ผลตอบแทนที่มากกว่าเล่นเองค่ะ) เช่น CG-LTF, EP-LTF, MS-CORE LTF(กองโดดเด่น ที่ให้ผลตอบแทนลำดับ 3 และยังทำผลงานดีในสภาวะตลาดขาลง ติดลบน้อย) เป็นต้น
  • ชื่นชอบกองที่ active ด้วย แต่อยาก play save ไว้บ้าง เลือกกองที่ลงในหุ้น 70% ในเงินฝาก ตราสารหนี้ ฯลฯ 30% เช่น 70/30-D LTF
  • ชื่นชอบกองที่มีผลประกอบการดี และปันผลด้วย (ยอมรับการหักภาษีจากเงินปันผล 10% ได้) ซึ่งมี 6 กองที่โดดเด่น เช่น VALUE-D LTF, MV-LTF, T-LTFD, 70/30-D LTFและ BIG CAP-D LTF
  • ชื่นชอบกองที่มีผลประกอบการดีด้วย และในช่วงตลาดที่ผันผวนก็ยังสามารถควบคุมให้ติดลบไม่มากได้ ซึ่งตรงนี้มีหลายคนที่ชื่นชอบนะคะ เช่น B-LTF, MS-CORE LTF, VALUE-D LTF, CIMB-PRINCIPAL

ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถใช้ FIN App ในการ monitor กองทุนที่เราเลือกถืออยู่ว่ายังมีประสิทธิภาพเหมือนเดิมหรือไม่ มีกองไหนทำได้ดีอีก เราสามารถสับเปลี่ยนกองได้ แต่ทั้งนี้ไม่ควรสับเปลี่ยนกองบ่อยๆ เพราะว่ายังมีเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องคิดด้วยค่ะ

บทความรู้ทะลุ LTF ตอน 1 และ 2 ของคุณ TaxBugnoms (บล๊อกภาษีข้างถนน) จะทำให้เข้าใจ LTF และการสับกองทุน ได้มากขึ้นค่ะ

Credit รูป siamchart

Friday, May 29, 2015

Preview clip - Feature ความสามารถต่างๆ ของ FIN - App ดูกองทุนรวม Mutual Fund

ทดลองทำ Clip 30 วินาที เพื่อ demo function ความสามารถของ FIN 2.0 -- App ดูกองทุนรวมบน iOS  ลองดูจาก Youtube link ด้านล่างนี้ครับ 


คำเตือน: Clip นี้เหมาะสำหรับคนรักการออมและการลงทุน ทุกเพศ ทุกวัย โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมและแชร์ต่อ ;D 


ใครยังไม่ได้โหลด FIN App กองทุนรวม Mutual Fund -- โหลดได้เลยครับ ที่ App Store https://itunes.apple.com/th/app/fin-app-kxngthun-rwm-mutual/id972662339?mt=8



Friday, May 15, 2015

วิธีการคิดต้นทุน NAV ของ App FIN กองทุนรวม Mutual Fund ใช้เป็นแบบ FIFO ครับ

วิธีการคิดต้นทุน NAV ที่ใช้ใน FIN ส่วนของ Portfolio (ช่อง Cost ในหน้า Portfolio ของ App FIN ตามรูปตัวอย่างด้านล่าง) ผมใช้เป็นแบบ FIFO นะครับ ทีนี้เพื่อให้ชัดเจนสำหรับท่านที่ยังไม่ทราบว่า FIFO คิดอย่างไร เลยเขียนมาบรรยายเพิ่มเติมนิดนึงฮะ

ส่วนใครที่ยังไม่ได้ใช้ FIN ลองโหลดมาใช้ครับ ที่ https://itunes.apple.com/th/app/fin-app-kxngthun-rwm-mutual/id972662339?mt=8



ปกติการลงต้นทุนของสินค้าในบัญชีจะมี 3 ระบบหลัก คือ แบบ Average, FIFO, LIFO

# Average จะเป็นการรวมราคาต้นทุนที่ซื้อไว้ทั้งหมดหารด้วยจำนวนหน่วยที่เหลือ
# FIFO (First in First out) สินค้าเข้าก่อนคิดเป็นต้นทุนออกก่อน คำนวณโดยเอาราคาต้นทุนสินค้าที่ซื้อเข้ามาก่อนเป็นต้นทุนหากมีการขายออกไป 
# LIFO (Last in First out) สินค้าที่เข้ามาหลังสุด คิดเป็นต้นทุนออกไปก่อน คำนวณโดยเอาราคาต้นทุนสินค้าที่ซื้อหลังสุดเป็นต้นทุนหากมีการขายออกไป

ซึ่งโดยมากวิธีการคิดต้นทุน NAV กองทุนรวมจะใช้แบบ FIFO และ Average เป็นส่วนใหญ่ และเนื่องจากระบบ FIFO เป็นระบบที่ใช้ในการคิดต้นทุนกองทุนรวม LTF ตามกำหนดการเสียภาษี
ตัวอย่าง
Day 1 ซื้อ กองทุน A @ 10 B จำนวน 100 หน่วย
Day 2 ซื้อ กองทุน A @ 12 B จำนวน 200 หน่วย
Day 3 ซื้อ กองทุน A @ 15 B จำนวน 50 หน่วย
Day 4 ขาย กองทุน A @ 16 B จำนวน 100 หน่วย
Day 5 ขาย กองทุน A @ 20 B จำนวน 250 หน่วย

วิธีการคำนวณ แบบ FIFO
เมื่อมีการขายเกิดขึ้นจะคิดต้นทุนราคาของหน่วยที่ราคา 10 บาท ก่อน ดังนั้น ขายราคาที่ 16 - 10 บาทจะรับรู้กำไรที่ 6 บาท หลังจากขายวันที่ 4 แล้วสามารถหา average ณ Day 4 ของ FIFO ได้ 12.6

วิธีการคำนวณ แบบ Average
คิดคำนวณ Average ทุกครั้งที่มีการซื้อหน่วยลงทุนมาเพิ่ม หากมีการขายออก ต้นทุนเฉลี่ยจะยังคงเดิม

ข้อสังเกตุ
ทั้ง 2 วิธี หากมีแต่การซื้อหน่วยลงทุนอย่างเดียว ค่าเฉลี่ยที่ได้จะเท่ากัน
แม้ว่าต้นทุนจะแตกต่างกัน แต่ว่าผลสุดท้ายถ้าขายหมดก็จะได้กำไรเท่ากัน
ข้อมูลเพิ่มเติมลองดูตัวอย่างที่:https://www.nomuradirect.com/th/help/information-faqs.aspx

Saturday, April 25, 2015

FIN 2.0 Version ล่าสุด เตรียมให้โหลดแล้วในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ 27 April 2015

FIN Version 2.0 ล่าสุดน่าจะเริ่มให้โหลดได้ภายในกลางสัปดาห์ที่จะถึงนี้ (28-29 April 2015) มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมความสามารถหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องหลัก และ เรื่องรอง โดยใน blog นี้ขอพูดถึงเฉพาะเรื่องหลักๆ นะครับ

เรื่องหลัก

  • เพิ่ม Watch List เพื่อเอาไว้ติดตามกองทุนรวมที่สนใจเท่านั้น
  • เพิ่มความสามารถด้านการทำ Fund Compare ในหน้า Watch List ได้ทั้งในรูปแบบ Rank และ Chart โดยเป็นการเปรียบเทียบในเชิงของ Performance เป็นหลัก
  • ยกเครื่อง Portfolio ใหม่ยกชุด 
  • เพิ่มข้อมูลปันผล และ ข้อมูลราคา NAV ย้อนหลังเข้าไปใน Fund Profile

FIN Watch List: Rank and Compare ทำได้ 2 Functions 

FIN Portfolio 2.0 ยกเครื่องใหม่ 


FIN Portfolio แบบ Pie Chart เพื่อดูสัดส่วน

FIN Fund Profile แสดงราคา NAV ย้อนหลัง

FIN Fund Profile ที่เพิ่มปุ่มในส่วนของ Chart, Dividend และ Info

FIN Fund Profile ในส่วนของ Dividend

FIN Fund Rank มีการปรับเพิ่มเติมเล็กน้อย โดยแสดงรูปหมุด ในกรณีที่ Fund นั้นอยู่ใน Portfolio หรือ Watch List

ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่มีการปรับปรุง ก็เช่น ในส่วนของ Portfolio เรื่องของการคิดต้นทุน ให้เป็นแบบ FIFO (First-in, First-out) นะครับ  ปรับปรุงเรื่องการ Search Fund ให้ฉลาดยิ่งขึ้น  การปรับปรุง Push Notification  และ เรื่องอื่นๆ ซึ่งตอนนี้ผมจำไม่ได้ ปรับไปหลายเรื่องมาก ทำช่วงสงกรานต์ :)

ก็หวังว่าคงจะชอบกันนะครับ และเหมือนเดิม หากมีข้อคิดเห็น หรือ คำแนะนำใดๆ ก็แจ้งได้ผ่านทาง Feedback ใน App เลย หรือว่า โพสต์เข้ามาทาง Facebook หรือใน Blog นี้ก็ได้เช่นกัน ได้ทุกทาง  ผมตั้งใจทำ App ตัวนี้เพื่อฝึกฝีมือทักษะการพัฒนา App บน iOS ครับ  ฉะนั้นถ้า iOS มี Technology อะไรใหม่ๆ เช่น Apple Watch  ผมก็คงนำมา integrate ร่วมกัน ในเร็ววันครับ  อยากทำ App นี้ให้เจ๋งๆ ฮะ :D





Saturday, March 21, 2015

FIN Update Version ล่าสุด เป็น Version 1.0.1 ขึ้น App Store เรียบร้อยแล้ว

วันนี้เวลาประมาณเที่ยงวัน Apple นำ FIN App - กองทุนรวม Mutual Fund Version ล่าสุดขึ้น App Store แล้วนะครับ สามารถโหลดหรือ Update ได้เลย โดย Version นี้ ปรับปรุง 3 เรื่องครับ

1. รองรับ iPhone 5, 5C, 4S, iPad , iPad Mini (กลุ่ม iDevice ที่ใช้ CPU 32-bit)
2. เพิ่ม Feature auto-complete เพื่อเป็นตัวช่วยขณะทำการ  add portfolio transaction
3. แก้บั๊กอื่นๆ อีกเล็กๆ น้อยๆ

Update กันได้เลย และถ้ามี Feedback ก็สามารถกดส่งผ่านมาทาง Application ได้ทันที  ขอบคุณครับ


Thursday, March 12, 2015

Updated: FIN App - List iOS Device ที่สามารถใช้งาน FIN App version 1.0 ได้



เช้านี้ 12 March 2015, ผู้ใช้กลุ่มแรก (Early adopter) แจ้งมาว่า App มีปัญหากับ iPhone 5 นะครับ เดี๋ยวทางเราจะ fix bug แล้ว release ไปใน version ถัดไปเร็วๆ นี้ครับ 

List รุ่นที่ใช้งานได้ที่ได้รับแจ้งจาก Early adopter user มีดังนี้
  • iPhone 5S 
  • iPhone 6 
  • iPhone 6 Plus 
  • iPad Air 2 (รันแบบ scale mode) 
  • iPad Mini Retina (รันแบบ scale mode)
หากพบปัญหาอื่นใด หรือ Feature request อื่นใด แจ้งได้เลยครับ ขอบคุณ ผู้ใช้กลุ่ม Early adopter มาไว้ ณ ที่นี้ :)


ผู้เยี่ยมชมท่านใด ต้องการใช้ FIN สามารถเข้าที่ App Store แล้วโหลดได้เลยครับ

https://itunes.apple.com/th/app/fin-app-kxngthun-rwm-mutual/id972662339?mt=8

Sunday, March 8, 2015

ตัวอย่างการใช้ FIN App เพื่อดูว่าเราลงทุนถูกกองทุน หรือว่า ลงผิดกองทุน (เสียโอกาส) หรือไม่

ในช่วง 5-6 ปีที่แล้ว ประมาณปี 2009  ตัวผมเองก็เริ่มใช้บริการกองทุนรวมแบบลงเงินจริงจังมากขึ้น แต่ทว่า ณ ขณะนั้น เราจะเลือกกองทุนที่ มีชื่อเสียง เป็นบริษัทภายใต้ Bank สีขนาดใหญ่  ลงทุนไป โดยไม่ได้ดูว่า อยู่ถูกกอง หรือ อยู่ผิดกอง  โชคดีที่ว่า ช่วงปี 2009-2011 นั้น  ตลาดหุ้นภาพรวม มันก็ลากกันขึ้นหมด ดังนั้นก็จะเห็นว่ามันมีกำไร ก็พอใจแล้ว  จำไม่ได้ว่ากำไรกันที่กี่ % แต่ก็กำไรแหล่ะ

แต่เราไม่ได้ดูในรายละเอียดว่า  ในช่วงเวลาเดียวกัน มันมีอีกหลายๆ กอง ที่กำไรมากกว่า อาจจะเป็นเท่าตัว โดยใช้ระยะเวลาเท่ากัน  นั่นแปลว่า  เราเสียโอกาสโดยที่เราไม่รู้ตัว !!!

Blog นี้จะชี้ให้เห็นภาพครับ ว่า การอยู่ถูกกอง กับ การอยู่ผิดกองนั้น  โดยใช้ระยะเวลาลงทุนเท่ากันนั้น ผลต่างมันเยอะพอสมควร อย่างมีนัยยะสำคัญเลยทีเดียว ยกตัวอย่าง กองทุน LTF และ RMF ที่ดีที่สุด Top5 ตั้งแต่ต้นปี 2558 จนถึงวันที่ 6 มีนาคม 2558

กองทุน LTF ที่มี Performance ที่ดีที่สุด
นับจากต้นปี 2558 จนถึง 6 มีนาคม 2558 (YTD) รวมระยะเวลาประมาณ 2 เดือน

กองทุน RMF ที่มี Performance ที่ดีที่สุด 
นับจากต้นปี 2558 จนถึง 6 มีนาคม 2558 (YTD) รวมระยะเวลาประมาณ 2 เดือน

จะเห็นว่า กองทุน LTF Top5 ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ทำกำไรได้อยู่ในช่วง  +7% ถึง +9%  ในขณะที่กลุ่ม RMF Top5 ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ทำกำไรได้ในช่วง  +8% ถึง +15%  (โอว้ เยอะกว่า LTF)  ก็อย่างที่ผมโปรยนำไว้ครับ ถ้าเราอยู่ "ถูกกอง"  เช่นมี LTF/RMF อยู่ในกลุ่ม Top 5 นี้  ก็จะได้ กำไร ตามนี้ในช่วงเวลาอ้างอิงเดียวกัน  อย่างผมเองก็จะมี CG-LTF และ KTSE-RMF ทั้งคู่ก็อยู่ในวงนี้ ก็ happy , good feeling ดีครับ  :)

ทีนี้ลองมาดู ในมุมตรงกันข้ามบ้าง   เราจะใช้ FIN ให้เรียงลำดับในทางตรงกันข้าม  กดตรง Icon ด้านขวาบน ที่เป็นไอคอนอยู่ข้างๆ ปุ่ม Search (แว่นขยาย)

กองทุน LTF ที่มี Performance ในทางกลับกัน 
นับจากต้นปี 2558 จนถึง 6 มีนาคม 2558 (YTD) รวมระยะเวลาประมาณ 2 เดือน

กองทุน RMF ที่มี Performance ในทางกลับกัน 
นับจากต้นปี 2558 จนถึง 6 มีนาคม 2558 (YTD) รวมระยะเวลาประมาณ 2 เดือน

เราจะเห็นว่าในมุมกลับกัน LTF/RMF จะทำกำไรหรือทำขาดทุน ได้อยู่ในช่วงแถวๆ 0% ถึง +0.3% เท่านั้น    ซึ่งแน่นอนในกลุ่มนี้จะมี LTF กองที่ใช้ SET50 Futures ทำประกันความเสี่ยงไว้เช่น KSDLTF หรือ 1SMART-LTF ทำให้ Performance ไม่บวก ไม่ลบมากเกินไป ซึ่งก็ตรงตามวัตถุประสงค์ของกลุ่มกองทุนประเภทนี้ หรือกองฝั่ง RMF ที่ลงทุนในพันธบัตรหรือสินทรัพย์เสี่ยงน้อยก็ได้ performance ไม่เยอะ ก็ตรงตามวัตถุประสงค์ของ RMF ประเภทนั้นเช่นกัน แต่มันก็จะมีกอง LTF/RMF อื่นๆ ที่ลงทุนในหุ้น  แต่ก็ ได้ performance ตามที่เห็นในช่วงเวลาดังกล่าว  ก็เป็นตัวอย่างก็แล้วกันครับ หรืออาจจะไปดู Fund Rank อื่นๆ ใน FIN App ได้ครับ

ลองเปรียบเทียบกันในภาพใหญ่ครับ  แค่ในช่วงเวลาเดียวกันประมาณ 2 เดือน  กลุ่มนึงทำกำไรกัน ในช่วง 7% ถึง 15%   อีกกลุ่มอยู่แถวๆ 0% ถึง 0.3% เท่านั้น   Performance ต่างกันพอสมควร  ถ้ามองกันที่ระยะไกลขึ้นเช่น 1 ปี ก็จะยิ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญมากไปกว่านี้

ดังนั้น การเลือกอยู่ให้ถูกกองนั้น  ค่อนข้างสำคัญไม่น้อยนะครับ  เพราะเวลามันก็วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่เคยหยุด แล้วเอาเราเก็บเงินของเราไว้ถูกที่หรือเปล่า ??   เรื่องนี้  FIN App จะช่วยได้  อย่างน้อยๆ ก็ทำให้รู้ว่า กองทุนอื่นๆ เมื่อเทียบกับกองที่เราลงทุนอยู่  มันอยู่ในระดับ จ่าฝูง หรือไม่  :)


"ลงทุนอย่างไร ให้เหมาะกับตัวเรา" บทความที่ดีมาก จาก Thailand Investment Forum Facebook Page

ภาพด้านล่างนี้เป็น กระบวนการตัดสินใจ ในเรื่องของการลงทุนให้เหมาะกับ สไตล์ปัจจุบันของเรา หรือ สไตล์ที่เราจะต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ทำให้ผลของการลงทุนออกมาตามเป้าหมายนะครับ

Flow Chart นี้เขียนไว้ค่อนข้างดีมาก  จะเห็นว่า ถนนเกือบทุกเส้นมุ่งหน้าเข้าสู่  การลงทุนผ่านกองทุนรวม Mutual Fund แทนที่จะเทรดลงทุนด้วยตัวเอง (ถ้าตัวเราเอง มีทักษะความรู้ด้านอื่น ที่ไม่ใช่ด้านการลงทุนในหุ้น เป็นหลัก)


เนื้อหาใจความโดยรายละเอียด ดูได้จาก Blog ต้นฉบับครับ ที่  http://thailandinvestmentforum.com/2014/10/23/4questions/

Enjoy !!

Saturday, March 7, 2015

FIN Online Privacy Policy Information

FIN Online Privacy Policy 
- Updated: 18 August 2015 -

This privacy policy governs your use of the software application App Name (“FIN - App กองทุนรวม Mutual Fund”) for mobile devices that was created by FIN.COOL. This application is designed for mutual fund investors in Thailand country to track the mutual fund investment performance and consolidate fund portfolio across asset management companies.

User Provided Information

The application requires you to give us some personal information such email address, username in order to use the Application as registered user.  The registered user has capability to use FIN on any supported devices at the same time with the same portfolio/watch-list information across all devices. If you're not prefer to use FIN app as a registered user, you still can use FIN as usual you have used before but with limited new functions.


Automatically Collected Information

In addition, the Application may collect certain information automatically, including, but not limited to, the type of mobile device you use, your mobile devices per-application generated unique device ID (Apple Identifier for Software Vendor, UUID String) and information about the way you use the Application in anonymously form. 


Do third parties see and/or have access to information obtained by the Application?

Only aggregated, anonymized data is periodically transmitted to external services to help us improve the Application and our service and in term of statistical ways. We will share your information with third parties only in the ways that are described in this privacy statement.


We may disclose User Provided and Automatically Collected Information:
  • as required by law;
  • when we believe in good faith that disclosure is necessary to protect our rights, protect your safety or the safety of others, investigate fraud, or respond to a government request;
  • with our trusted services providers who work on our behalf, do not have an independent use of the information we disclose to them, and have agreed to adhere to the rules set forth in this privacy statement.
  • if FIN application creator is involved in a merger, acquisition, or sale of all or a portion of its assets, you will be notified via email and/or a prominent notice on our Web site of any change in ownership or uses of this information, as well as any choices you may have regarding this information.

Data Retention Policy, Managing Your Information

We will retain User Provided data for as long as you use the Application and for a reasonable time thereafter. We will retain Automatically Collected information for up to 12 months and thereafter may store it in aggregate. 


Security

We are concerned about safeguarding the confidentiality of your information. We provide physical, electronic, and procedural safeguards to protect information we process and maintain. For example, we limit access to this information to authorized employees and contractors who need to know that information in order to operate, develop or improve our Application. Please be aware that, although we endeavor provide reasonable security for information we process and maintain, no security system can prevent all potential security breaches.


Changes

This Privacy Policy may be updated from time to time for any reason. We will notify you of any changes to our Privacy Policy by posting the new Privacy Policy here and informing you via email or text message. You are advised to consult this Privacy Policy regularly for any changes, as continued use is deemed approval of all changes.


Your Consent

By using the Application, you are consenting to our processing of your information as set forth in this Privacy Policy now and as amended by us. "Processing,” means using cookies on a computer/hand held device or using or touching information in any way, including, but not limited to, collecting, storing, deleting, using, combining and disclosing information, all of which activities will take place in the Thailand. If you reside outside the Thailand your information will be transferred, processed and stored there under Thailand privacy standards.


Contact us

If you have any questions regarding privacy while using the Application, or have questions about our practices, please contact us via email at support@fin.cool

ลงทุนกองทุนรวม ผมมองว่ามันดีอย่างไร ?

ประเภทนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยมีอยู่ 4 กลุ่มด้วยกัน  ตามภาพด้านล่าง

  • กลุ่ม นักลงทุนสถาบัน อันนี้จะมีพวก บลจ. กองทุนรวมค่ายต่างๆ รวมถึง กลุ่ม ประกันสังคม กบข. และ อื่นๆ ที่อยู่ในรูปแบบของสถาบัน 
  • กลุ่ม บัญชี บล.  อันนี้ ที่เรารู้จักกันในนาน Proprietary Trader (ป๊อบเทรด  ป๊อบเดส) นั่นเอง a.k.a ปอบ ที่ผู้ใช้ Pantip Sinthorn พูดถึงกันนั่นเอง 
  • กลุ่ม นักลงทุนต่างประเทศ ก็ชัดเจน พวกต่างชาติ
  • กลุ่ม นักลงทุนภายในประเทศ  ก็มีตั้งแต่ รายย่อย จนถึง รายใหญ่ รวมเข้าก๊ก นี้หมด 


โดยส่วนตัว ผมเคยเทรดทั้ง หุ้น, SET50 Futures มาหมดแล้ว  กำไร/ขาดทุน ผสมปนเปกันไป  แต่เนื่องจาก เราไม่ได้ทำอาชีพนั่งเทรดเป็นอาชีพหลัก  ดังนั้นจะค่อนข้างลำบากที่จะ "เทรดให้ได้ดีอย่างต่อเนื่อง"  ดังนั้น ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาจากการทดลองดูแล้ว  ใช้บริการ บลจ. กองทุนรวม นั้น ให้ความรู้สึกที่ดีที่สุดครับ

มันเหมือนเป็นการ Off-load หน้าที่ ความรับผิดชอบตรงนี้ ให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลโดยแบ่งค่าตอบแทนเป็นไปในลักษณะค่าบริหารจัดการ  น่าจะดีกว่าดูเอง เพราะ เอาเวลาหลักไปทำงานที่ตัวเองมีความรู้ ความสามารถ ทำประโยชน์ให้เกิดแก่คนอื่น น่าจะเหมาะสมกว่า   เลยเป็นที่มาว่าทำไม ชอบลงทุนผ่านกองทุนรวม ของ บลจ. ต่างๆ นั่นเอง   อีกเหตุผลนึงคือ เราไม่ต้องเสียสุขภาพจิต ที่จะต้องมาออกรบ กับ เสือ สิง กระทิง แรด กับกลุ่มนักลงทุนอื่นๆ ที่มีข้อมูลข่าวสาร ลึกกว่าเราแน่ๆ

ที่นี้ กองทุนต่างๆ นั้นก็มีจำนวนมากมาย โดยในไทยนั้น กองทุนทั้งหมดตอนนี้ มีอยู่ แถวๆ 1300-1500 กองทุน ซึ่งมีหลากหลายประเภท ทั้ง ลงทุนในประเทศ ต่างประเทศ เป็นแบบ กองทุนเปิด  LTF, RMF, Money Market, Bond หลากหลายมาก  เลยจะเจอปัญหาหลายๆ อย่างจนบีบบังคับให้ผมสร้าง FIN Application ขึ้นมานั่นเอง  (FIN คืออะไร อ่านได้จาก Link นี้ -- http://www.fin.cool/2015/03/fin.html)

ทีนี้ มามองกันในมุมผลตอบแทนบ้าง แน่นอนครับ  มันมีทั้งกำไร และ ขาดทุนแน่นอน

ถ้าทุกอย่างไปได้ด้วยดี  กองทุนที่ดีในกลุ่ม Top5 ทั้งที่ลงทุนในต่างประเทศ และ ภายในประเทศ โอกาสกำไร ต่อ 1 ปี  ก็สามารถมองให้เห็นได้ที่ระดับ  30-45%  ก็จะมีให้เห็นได้

Performance กองทุนรวมที่ลงทุนภายในประเทศ ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลังจากวันที่ 6 มีนาคม 2558 

Performance กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลังจากวันที่ 5 หรือ 6 มีนาคม 2558

คือ นี่คือ "กรณีที่เลือกกองทุนได้ถูกกอง" และ "แนวโน้มตลาดภาพรวมมันดี"  มันก็จะได้ผลตอบแทน แถวๆ นี้ล่ะครับ  ซึ่งถ้าพอใจในระดับนี้ และ เอาเวลาส่วนตัวไปทำอย่างอื่น ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตในภาพรวม ก็ ลงทุนผ่านกองทุนรวมเลยครับ เป็น Solution ที่น่าจะดีที่สุด

แต่ผลตอบแทนระดับนี้ ก็ไม่ทำให้เรา รวยระดับที่ นักสร้างธุรกิจเขาทำธุรกิจกันนะครับ  อันนั้นผลตอบแทนมันคนละ scale  กัน เทียบกันยาก   ให้มองซะว่า  การลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นเอาไว้จัดการกับ "เงินเย็น" ของเรา โดยที่เราไม่ต้องจัดการยุ่งอะไรเองมาก  ให้ "เงินเย็น" ทำงานผ่านกองทุนรวมขนานกันไป ผลตอบแทนถ้าดี ก็อยู่แถวๆ 30-50% ต่อปี ก็พอทำได้    ส่วนเวลาหลักของชีวิตของเรา เอาไปสร้างธุรกิจที่ใช้ความรู้ ความสามารถของเราเอง  น่าจะได้อะไรที่ สนุก ท้าทายไปในอีกรูปแบบ

หรือ คิดว่าอย่างไรกันครับ ??